Coding Gun

หัดเขียน .gitlab-ci.yml เบื้องต้น

ไฟล์ .gitlab-ci.yml เป็นไฟล์ที่จะบอก gitlab ว่าเราจะทำอะไรบ้างหลังจากที่มีคนนำ code เข้ามารวมใน repository ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจวิธีการเขียน .gitlab-ci.yml กันว่าเรา .gitlab-ci.yml มีโครงสร้างยังไงบ้าง

โครงสร้างของ .gitlab-ci.yml

โครงสร้างของ .gitlab-ci.yml จะประกอบไปด้วย

ซึ่งไฟล์ .gitlab-ci.yml ทั้่งไฟล์จะเป็น pipeline ใน pipeline จะประกอบไปด้วย stage ซึ่ง default gitlab จะนิยามไว้ 3 stage ดังนี้

  1. build
  2. test
  3. deploy

ซึ่งเราสามารถจะปรับเปลี่ยน stage ได้ด้วยการนิยาม stage ไว้ใน .gitlab-ci.yml เช่น ถ้าเราต้องการให้ stage ของ deploy มาก่อน test ให้เขียนเป็น

stages:
    - build
    - deploy
    - test

# job ต่างๆ

ในแต่ละ job จะทำการระบุไว้ว่า job นี้อยู่ใน stage ไหน ยกตัวอย่างเช่น

 1
 2
 3
 4
 5
 6
 7
 8
 9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
build1:
  stage: build
  script:
    - echo "Do your build here"

test1:
  stage: test
  script:
    - echo "Do a test here"

test2:
  stage: test
  script:
    - echo "Do another parallel test here"

deploy1:
  stage: deploy
  script:
    - echo "Do your deploy here"

จากตัวอย่าง yml ด้านบนเราจะกำหนด stage ไว้ 3 stages

การระบุ image ที่จะใช้งาน

ถ้าเราเลือก executor ไว้เป็น docker(ลองอ่านเรื่องการติดตั้ง gitlab runner ได้ที่นี่) เราจะสามารถระบุ image ที่ต้องการใช้งานได้

โดยที่เราสามารถระบุเป็น

image: busybox:latest

# job ต่างๆที่อยู่ใน pipline

หรือ

default:
    image: busybox:latest

# job ต่างๆที่อยู่ใน pipline

ทั้งสองแบบนี้จะให้ผลแบบเดียวกันคือ script ต่างๆที่ run อยู่ใน job จะเป็นการ run ด้วย shell ข้างใน container เช่น script ที่ echo ในตัวอย่าง้านล่างจะ run ภายใน container ที่สร้างขึ้นมาจาก image busybox version ล่าสุด

1
2
3
4
5
6
image: busybox:latest

build1:
  stage: build
  script:
    - echo "Do your build here"

แต่ถ้าต้องการระบุ image เฉพาะใน job ที่ต้องการ เช่น ถ้าเราต้องการจะให้ run script ใน busybox version 1.35 ซึ่งไม่ใช่ version ล่าสุด เราจะเขียนแบบนี้ ส่วน job อื่นๆก็จะใช้ default image ที่อยู่ด้านนอก

1
2
3
4
5
6
7
image: busybox:latest

build1:
  stage: build
  image: busybox:1.35
  script:
    - echo "Do your build here"

ถ้าเราใช้ shell executor เราจะไม่สามารถระบุ image ได้

การเลือก runner ด้วย tag

ตอนที่เราสร้าง job ขึ้นมา gitlab จะทำการเลือก runner ที่มี tag ที่ถูกนิยามไว้ เราจึงต้องทำการระบุด้วยว่าใน job นี้จะใช้ tag อะไร

1
2
3
4
5
6
build1:
  stage: build
  tags:
    - nodejs
  script:
    - echo "Do your build here"

หรือจะทำการระบุทีเดียวใน default ได้เลย

1
2
3
4
5
default:
    tags:
        - nodejs

# ทุก job หลังจากนี้จะเลือก runner ที่มี tag เป็น nodejs

ถ้าไม่ได้ระบุ tag ไว้ gitlab จะเลือกสร้าง job ใน runner ที่กำหนดไว้ใน config ว่าให้ run untag job

การประกาศตัวแปร

ตัวแปรใน gitlab จะมีอยู่ 2 ประเภทคือ

variables:
    BUILD_NAME: "demo-project-$CI_JOB_ID"

ในตัวอย่างนี้เราประกาศตัวแปรที่ชื่อว่า BUILD_NAME ขึ้นมาและกำหนดค่าเป็นตำว่า demo-project- แล้วต่อด้วย running number ของ job(เป็น auto running จะไม่ซ้ำกันถ้าอยู่บน instance เดียวกัน)

การใช้ beforescript และ afterscript

ถ้าเราต้องการ run script ก่อน(before)หรือหลัง(after) script ที่อยู่ใน job ให้เราเขียนใน beforescript และ afterscript แบบในตัวอย่างนี้

before_script:
  - echo "Before script section"
  - echo "For example you might run an update here or install a build dependency"
  - echo "Or perhaps you might print out some debugging details"

after_script:
  - echo "After script section"
  - echo "For example you might do some cleanup here"

เราสามารถใส่ command ที่ใช้ในการ install, update หรือ debug ค่าต่างๆใน before_script และ คำสั่งที่ใช้ในการ clean up ต่างๆ เช่น close database หรือ remove file ต่างๆ ใน after_script

การสร้างเงื่อนไข

ในแต่ละ job ที่เราสร้างขึ้นมาเราสามารถกำหนดเงื่อนไขในการเลือกว่าจะ run หรือ ไม่ run ได้ด้วย keyword only,except และ rules

การใช้ only และ except

only และ except นั้นจะตรงข้ามกัน โดยที่

การใช้ rules

การใช้ rule จะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกันคือ

การใช้ When

เราสามารถใช้ keywork when ในการกำหนดเงื่อนไขในการ run ซึ่งถ้าไม่กำหนดจะใช้ค่า default ที่เป็น on_success

ค่าที่สามารถกำหนดได้

job ไหนที่กำหนด allow_failure: true จะถูกมองว่า success เสมอไม่ว่าจะจบยังไงก็ตาม

อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่

Phanupong Permpimol
Follow me